ภายใต้นโยบาย “คนดี สินค้าดี สังคมดี” หนุนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนตามนโยบายภาครัฐ สู่ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าไร้คาร์บอน ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความสมดุล
เครือสหพัฒน์ เปิด 4 โรงงานการผลิตโชว์ศักยภาพ Sustainability ภายใต้นโยบาย “คนดี สินค้าดี สังคมดี” หนุนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนตามนโยบายภาครัฐ สู่ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าไร้คาร์บอน ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความสมดุล
เครือสหพัฒน์ โดย บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ทำการตลาด และจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภค-บริโภคชั้นนำ กว่า 100 แบรนด์ ได้สร้างโปรเจ็กต์พิเศษภายใต้การดูแลของ BSC International (บีเอสซี อินเตอร์เนชั่นแนล) นำโดย บุษบง มิ่งขวัญยืน ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ BSC International นำเสนอผลิตภัณฑ์ จาก 4 โรงงานผู้ผลิต ที่ดำเนินงานภายใต้ Sustainability เพื่อเป็นตัวแทนความพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่ Net Zero ไปพร้อมๆกัน
โดย ธรรมรัตน์ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า “วิกฤตเศรษฐกิจในช่วงเวลาหลายปีที่่ผ่านมาส่งผลให้ภาคธุรกิจต้องปรับตัวให้พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการบริหารธุรกิจ รวมถึงกระบวนการทำงานในทุุกมิติ ให้องค์กรสามารถก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนได้ เพื่อให้เราสามารถก้าวสู่อนาคตอย่างยั่งยืน นอกจากการมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และช่องทางการจัดจำหน่ายให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค (Customer Focus) บริษัทฯ ยังได้บริหารงานโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และหลักธรรมาภิบาลในการดำเนินธุุรกิจควบคู่ไปด้วย (ESG: Environmental, Social, Governance)”
ด้านสิ่งแวดล้อม มุ่งเน้นการดููแลสิ่งแวดล้อม ทั้งในกระบวนการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน พัฒนาผลิตภัณฑ์โดยคำนึงถึงที่มาของวัตถุุดิบหรือบรรจุุภัณฑ์ที่ใช้ในกระบวนการผลิต (Carbon Footprint) ควบคู่ไปกับการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในการทำงานและการสื่่อสาร เพื่่อลดการใช้พลังงาน และส่งเสริมการดููแลสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้หลัก Reduce: Reuse: Recycle อาทิ การใช้วัสดุุที่่ย่อยสลายได้ในการทำบรรจุุภัณฑ์ การใช้กระดาษรีไซเคิล การแยกขยะเพื่อนำสิ่งที่นำกลับมาใช้อีกได้ไปเข้ากระบวนการ Recycle
ด้านสังคม ใส่ใจในการพัฒนาศักยภาพพนักงานให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จัดให้มีการทบทวนความรู้เพิ่มเติม (Reskill/Up skill) และกระบวนการแบ่งปัน/ถ่ายทอดทักษะต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ เพื่่อการขับเคลื่อนการดำเนินธุุรกิจขององค์กรได้อย่างยั่งยืน และยังคงกิจกรรมที่่เอื้อประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติอย่างต่อเนื่่อง ตามปณิธานของดร.เทียม โชควัฒนา ผู้ก่อตั้งเครือสหพัฒน์
ด้านหลักธรรมาภิบาล บริษัทฯ ให้ความสำคัญในการปฏิบัติตามหลักการกำกับดููแลกิจการที่่ดี ซึ่่งเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาและสร้างคุุณค่าให้กิจการอย่างยั่งยืน ดำเนินธุุรกิจอย่างมีจริยธรรม เคารพสิทธิมนุษยชน และมีความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกมิติ รวมถึงกำหนดจรรยาบรรณกรรมการบริษัท ผู้บริหารและพนักงาน อย่างชัดเจน
โรงงานที่ 1 ครั้งแรก..กับการเข้าชมขั้นตอนการผลิต น้ำยาซักผ้า และ ผงซักฟอก Essence ภายใต้ระบบ Circular Economy พลังงานความร้อน น้ำ ไฟฟ้า สู่การใช้พลังงานอย่างยั่งยืน
บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด โรงงานผู้ผลิตสินค้าอุปโภคชั้นนำ ตั้งอยู่ภายในสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว ระดับที่ 4 : วัฒนธรรม สีเขียว ในปี 2562 ตามโครงการของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกองค์กร ตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ดำเนินการผลิตภายใต้ BCG ECONOMY MODEL
นงลักษณ์ เตชะบุญอเนก ที่ปรึกษา บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(มหาชน) และ สายชล ศีติสาร กรรมการบริหารการผลิต บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมพาเยี่ยมชมโรงงานการ เพื่อดูขั้นตอนการผลิตน้ำยาซักผ้า และ ผงซักฟอก Essence ทั้ง 3 จุดโดยละเอียดดังนี้
จุดที่ 1: โรงงานและสภาพแวดล้อมโดยรอบ ดำเนินการด้าน Green Economy Model โดยการชดเชยปริมาณปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากการใช้พลังงานไฟฟ้าในการผลิตสินค้าทั้งหมดให้เท่ากับศูนย์ ด้วยคาร์บอนเครดิตจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Grid Connected Solar PV) ที่ได้รับรองจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program : T-VER)
จุดที่ 2: Plant ผลิตผงซักฟอก ผลิตภายใต้ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ทั้งการควบคุมคุณภาพของพลังงานความร้อน พลังงานลม น้ำใช้และ ของเสียจากการผลิต ให้หมุนเวียนนำกลับมาใช้ใหม่ให้ได้มากที่สุด (Renewable Resources) ส่งเสริมและลดการใช้พลาสติกด้วยช้อนตักผงซักฟอก โดยเปลี่ยนจากช้อนพลาสติกเป็นช้อนกระดาษที่ผลิตจากเยื่อกระดาษ ที่ทำให้ Recycle ได้แบบ 100% ตามธรรมชาติ และไม่ทิ้งสารตกค้างต่อสิ่งแวดล้อม ลดการใช้เม็ดพลาสติกได้ถึง 10.8 Ton/ปี ลดการปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ถึง 20.3 TonCO2/ปี อีกทั้งมีการนำเอาเทคโนโลยีมาช่วยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ในการผลิตให้มีความยั่งยืน
การผลิตผงซักฟอก Essence เราให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน โดยจัดทำโครงการ Wasted heat and Double Waste Heat เป็นการนำลมร้อนจาก Sulfonation Plant มาใช้ เพื่อลดการใช้ ก๊าซธรรมชาติ และพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ Model free adaptive control มาใช้ในการควบคุมการให้ความร้อนในหออบด้วยระบบอัตโนมัติ มีความแม่นยำสูง ช่วยลดอุณหภูมิที่ใช้ในการอบผงซักฟอกลงได้ 10°C ส่งผลให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 240 ตันต่อปี
จากโครงการการใช้พลังงานอย่างยั่งยืนทั้งหมด ทำให้ผลิตผงซักฟอกได้มีคุณภาพและช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 1,500 ตันต่อปี
จุดที่ 3: Plant ผลิตน้ำยาซักผ้าแบบแกลลอน น้ำยาซัก ใช้สารประกอบที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ มีเอนไซม์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำความสะอาดและลดการใช้สารเคมี นอกจากนี้ยังมีการนำ Pigging System มาใช้ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ช่วยนำส่งหรือรีดของเหลวที่ตกค้างในท่อน้ำ ให้นำกลับมาใช้ได้อีก ลดการสูญเสียผลิตภัณฑ์ ลดการใช้ไอน้ำ และลดการใช้น้ำสำหรับล้างท่อ ในส่วนของแพคเกจจิ้ง เป็นขวด Light Weight ที่ลดการใช้เม็ดพลาสติกในการผลิต สามารถพับเพื่อทำลาย ช่วยลดพื้นที่ทิ้งขยะ ทั้งยังมีอักษร เบรลล์บนขวด เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้พิการทางสายตา
นอกจากนี้ โรงงานมีการใช้ IDA (Industrial Data Analytics) คือ แพลตฟอร์มการใช้พลังงานเทียบกับอัตราการผลิต ซึ่งเป็น software ที่นำมาใช้วิเคราะห์ข้อมูล และประสิทธิผลของกระบวนการผลิต โดยมีความสามรถในการวิเคราะห์ ผลลัพธ์เชิงคาดการณ์ (Predictive Analytics) จากเครื่องจักรไปยังเครื่องจักร (Machine to Machine) และแปลข้อมูลแบบ Real Time ซึ่ง IDA สามารถลดพลังงานไฟฟ้าได้ 15% ต่อปี
การบรรจุน้ำยาซักผ้า Essence ด้วยเครื่องอัตโนมัติชนิดแกลลอน ทุกขวดจะผ่าน Auto Weight checker เพื่อควบคุมน้ำหนักบรรจุอย่างแม่นยำ และลำเลียงตามสายพานมายังเครื่องบรรจุลงหีบอัตโนมัติ จากนั้นสินค้าจะถูกจัดเรียงบนพาเลทโดย Robot ผ่านไปยังเครื่อง Auto Wrapping และ RGV (Rail Guided Vehicle) เพื่อลำเลียงสินค้าไปจัดเก็บในคลังสินค้า ด้วยระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ (Automated warehouses) โดยกระบวนการนี้ ได้ถูกออกแบบและพัฒนา ใช้พลาสติกในการผลิตแกลลอนให้เป็นแบบ Light Weight โดยใช้เม็ดพลาสติกลดลง 15 กรัมต่อชิ้น สามารถลดพื้นที่การทิ้งขยะได้จากการทับให้ยุบ ทั้งยังมีอักษรเบรลล์บนขวด เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้พิการทางสายตา
นอกจากนี้ในกระบวนการบรรจุยังมีการนำ Pigging System มาใช้ โดยการทำงานของ Pigging จะทำการรีดน้ำยาที่ค้างท่อมาใช้ในการบรรจุ โดยไม่เกิดการสูญเสียผลิตภัณฑ์น้ำยาซักผ้าได้ 125 ตัน/ปี สามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 17,910 KgCO2/ปี อีกทั้งยังสามารถลดการใช้ Steam จากการล้างไลน์ท่อ 23.7 ลูกบาศก์เมตรต่อปี ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 5,130 KgCO2/ปี ลดปริมาณ น้ำเสียที่เข้าสู่ระบบบำบัดเทียบกับปี 2022 ได้ 48.2 ลูกบาศก์เมตร ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 2,200 KgCO2/ปี
โรงงานที่ 2 กว่าจะเป็นผ้าขนหนู “BSC BAMBOO” เปิดโรงงาน “ราชาอูชิโน” ไขความลับที่แรกและที่เดียว
ผลิตภัณฑ์ผ้าขนหนู BSC Bamboo ผลิตโดย บริษัท ราชาอูชิโน จำกัด โรงงานผู้ผลิตสินค้าประเภทเคหะสิ่งทอ เช่น ผ้าขนหนู และ Home textile ซึ่งมี Production Facilities ครอบคลุมกระบวนการทอ ย้อม พิมพ์ ปัก รวมถึงมีความเชี่ยวชาญเรื่องงานตัดเย็บ ตั้งอยู่ภายในสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ที่ได้รับรางวัลและใบรับรอง ถึงระบบบริหารคุณภาพ ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม และผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจากหลายองค์กร ทั้งนี้การพาเปิดโรงงาน “ราชาอูชิโน” ล้วงลึกถึงที่มาของการผลิตผ้าขนหนู จาก “ไผ่” ธรรมดา สู่ “เส้นใยไผ่” สินค้าพรีเมียมไร้คาร์บอน ที่ดีต่อผู้ใช้ และดีต่อโลกอย่างยั่งยืน โดยมีคณะทีมงานให้การต้อนรับ
ในการเยี่ยมชมครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่มีการนำสื่อมวลชนเข้าเก็บภาพกระบวนการผลิตผ้าขนหนู BSC BAMBOO ที่ผลิตจาก “ไผ่” ไม้พุ่มในสกุล วงศ์หญ้า (Poaceae) ซึ่งนับเป็นหญ้าชนิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก สามารถพบได้ทั่วไปในทุกสภาพอากาศ กระจายตัวเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยด้วยการแตกกอ ตามธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งปุ๋ยหรือสารฆ่าแมลง และมีอายุเก็บเกี่ยวยาวนานตั้งแต่ 10-100 ปี
“ไผ่” จึงถือเป็นพืชที่มีความสำคัญในแง่ของเศรษฐกิจและสังคม เพราะสามารถนำมาใช้งานได้อย่างสารพัดประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น รากใช้ในการยึดเกาะหน้าดิน ไหล่เขา ริมห้วย หรือใช้ประดิษฐ์เครื่องประดับ หน่อใช้รับประทาน ลำต้นใช้ทำหัตถกรรมจักสาน งานก่อสร้าง อุตสาหกรรมกระดาษ ใบใช้เป็นภาชนะห่อของ มุงหลังคา เป็นอาหารของสัตว์หลายชนิด นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติพิเศษในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) ได้มากกว่าต้นไม้ทั่วไป ถึง 4 เท่า และเมื่อสิ้นวงจรชีวิต ไผ่ยังสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ถือเป็นพืชที่สร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศน้อยที่สุด โดยเส้นด้ายที่โรงงานคัดเลือกมาใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต มาจากไผ่ที่ได้รับการรับรองจากองค์กรนานาชาติ (Forest Stewardship council -F.S.C) ซึ่งเป็นองค์กรที่ช่วยผลักดันและสนับสนุนการดูแลป่าไม้ทั่วโลกให้ มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม อันเป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม และสามารถบริหารจัดการให้เกิดผลทางเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน
จากนั้น อาวุธ กฤษณานุวัตร ที่ปรึกษา บริษัท ราชาอูชิโน่ จำกัด ได้นำเยี่ยมชมกระบวนการปั่นเป็นเส้นด้ายเยื่อไผ่ส่งต่อให้กับโรงงานผ้าขนหนูราชาอูชิโน ที่ได้มาตรฐานตามการรับรอง จาก ISO 14001:2015, ISO 9001:2015 และ Oeko-Tex® Standard 100 ก่อนนำผ้าที่ได้เข้าสู่กระบวนการฟอกย้อม สี ด้วยเครื่องจักรประหยัดพลังงาน และเข้าชมการลำเลียงน้ำเข้าสู่บ่อบำบัดน้ำเสียด้วยระบบชีวภาพ โดยเฉพาะขั้นตอนการรีดตะกอน จนได้กากก่อนนำส่งไปกำจัดด้วยวิธีฝังกลบ เพื่อให้น้ำเสียกลายเป็นน้ำคุณภาพดี ก่อนปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ
นอกจากจะได้ทราบถึงที่มาในทุกๆ ขั้นตอนการผลิตแล้ว สื่อมวลชนยังได้ร่วมพิสูจน์ความเนียนนุ่ม ของผ้าขนหนู BSC BAMBOO มีคุณสมบัติเฉพาะของผ้าขนหนูที่ผลิตจากเส้นใยไผ่ ที่มีความอ่อนนุ่มสูง ยืดหยุ่น ไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง ดูดซึมซับน้ำได้ดี ขณะเดียวกันก็แห้งไว อีกทั้งยังมี Bamboo Kun ที่เป็นสารสำคัญตามธรรมชาติที่อยู่ในเยื่อไผ่ ซึ่งมีคุณสมบัติในการต้านแบคทีเรียซึ่งสาเหตุของเชื้อโรคและกลิ่นอับชื้น มีอายุการใช้งานที่ยาวนานไม่เป็นขุยหรือหลุดร่วงแม้ซักบ่อย
นอกจากนี้จากงานวิจัย ยังพบว่า ในพื้นที่เพาะปลูกไผ่ 1 เอเคอร์ ได้ต้นไผ่เติบโตเต็มที่พร้อมใช้งาน 1.5 ตัน สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1.6 ต้นต่อปี และนำมาผลิตเป็นเยื่อไผ่ได้ 72 กิโลกรัม สามารถผลิตเป็นผ้าขนหนูขนาดเช็ดตัวได้ประมาณ 400 ผืน โดยใน 1 ผืนสามารถลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 4 กิโลกรัม ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง หลังสิ้นสุดอายุการใช้งาน ยังสามารถย่อยสลายได้ในธรรมชาติโดยจุลินทรีย์และแสงแดด
ถือได้ว่า “ผลิตภัณฑ์ผ้าขนหนู BSC BAMBOO” แบรนด์ภายใต้การดูแลของ BSC International (บีเอสซี อินเตอร์เนชั่นแนล) ซึ่งจัดจำหน่ายและทำการตลาดโดยบริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) มีครบทุกฟังก์ชั่นการใช้งานตอบโจทย์สำหรับทุกสภาพผิว แม้ผู้มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย เป็นมิตรกับผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทุกกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ และยังมีส่วนช่วยในการผลักดันและสร้างคุณค่าให้กับพืชธรรมดาให้กลายเป็นพืชเศรษฐกิจ เป็นผลิตภัณฑ์ไร้คาร์บอน ที่ดีสอดรับนโยบาย Net Zero ได้อย่างยั่งยืน.
โรงงานที่ 3 Enfant รักลูกของคุณ รักษ์โลกของเรา เคียงข้างคุณแม่ดูแลลูกน้อยสู่ศตวรรษที่ 4 เปิดโรงงานการผลิตของขวัญแห่งรัก ส่งมอบคุณค่าความใส่ใจอย่างยั่งยืน
โดยมี ชุติมา ประเสริฐศรี ผู้อำนวยการผลิตภัณฑ์ Enfant และ พงษ์สันติ์ วงษ์เสริมหิรัญ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยพัฒนาและนวตกรรม บริษัท ไทยวาโก้ จำกัด(มหาชน) เป็นผู้ให้ข้อมูลรายละเอียดของผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าเด็ก Enfant (อองฟองต์) และพานำเยี่ยมชมขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่การตัดแพทเทิร์นด้วยเครื่องจักรแบบใหม่ ที่ทำให้เหลือชิ้นส่วนของผ้าเหลือใช้น้อยที่สุด, การเย็บด้วยความประณีต, การตรวจจับโลหะด้วยเครื่องจักรที่มีความแม่นยำ เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อง ไปจนถึงระบบการคัดแยก ขนส่ง อยากเป็นระเบียบและรวดเร็ว เพื่อให้ของถึงมือคุณแม่และลูกได้ตามความต้องการ
คัดสรรวัตถุดิบจากธรรมชาติด้วยความใส่ใจ
Enfant : Pure & Natural with Best Quality เพราะผิวของเด็กนั้นบอบบาง Enfant จึงเลือกใช้เส้นใยจากฝ้ายที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิตว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่าง COTTON Biotechnology จากอเมริกา ที่ลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมในกระบวนการปลูก ตั้งแต่การเตรียมดินด้วยการไถพรวน การบริหารจัดการน้ำและการพัฒนาปรับปรุงการใช้พลังงานในการปลูกฝ้ายที่ใช้น้อยกว่าการปลูกปกติ นอกจากนี้ การปลูกต้นฝ้ายบนพื้นที่ 1 ไร่ ในเวลา 1 ปี ยังสามารถช่วยดูดซับปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 5-6 ตัน ให้ผลผลิตใยฝ้ายได้มากถึง 204 กิโลกรัม
อีกหนึ่งวัตถุดิบที่ Enfant เลือกใช้ คือ เส้นใย BAMBOO พืชที่พบได้ในทุกสภาพอากาศ และกระจายตัวเติบโตอย่างรวดเร็วตามธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งปุ๋ยหรือสารกำจัดแมลง มีอายุเก็บเกี่ยวที่ยาวนาน ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ได้มากกว่าต้นไม้ทั่วไปถึง 4 เท่า โดย ในพื้นที่ 1 ไร่ สามารถเพาะปลูกต้นไผ่พร้อมใช้งานได้ 0.6 ตัน สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 0.65 ต้น และนำมาผลิตเยื่อไผ่ได้ 30 กิโลกรัม อีกทั้งยังมีสารธรรมชาติชื่อว่า “Bamboo Kun” ทำหน้าที่คอยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียและต่อต้านแมลง ลดกลิ่นอับ และย่อยสลายได้ตามธรรมชาติเมื่อสิ้นวงจรชีวิต เมื่อนำ 2 วัตถุดิบมาถักทอผสานในสัดส่วน 60:40 จะให้ได้เนื้อผ้าที่นุ่มลื่น สวมใส่แล้วเย็นสบาย ระบายความชื้นได้ดีเป็นพิเศษ เหมาะกับผิวที่บอบบางของเด็ก
*ใน 1 ปี Enfant ใช้เส้นใยจาก Cotton 30,000 กิโลกรัม และBamboo 30,000 กิโลกรัม ในการผลิตเสื้อผ้า 800,000 ชิ้น เสื้อผ้าทุกชิ้นของ Enfant จึงมีส่วนช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ และรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน
มุ่งมั่นพัฒนาเครื่องแต่งกายให้เอื้อต่อพัฒนาการในแต่ละช่วงวัย
Enfant: Baby-Friendly เพื่อการสร้างสรรค์แฟชั่นที่เอื้อต่อพัฒนาการของเด็กในแต่ละช่วงวัย Enfant ออกแบบ “เสื้อป้ายอุ่นอกที่ไร้ตะเข็บข้าง” เพื่อลดโอกาสในการเสียดสี ที่อาจสร้างความระคายเคืองผิว และ “กางเกงก้นกว้าง” เพื่อรองรับสรีระช่วงขาที่กางออกของเด็กแรกเกิด รวมถึงรองรับการสวมใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูป นอกจากนี้ยังปรับเปลี่ยนการออกแบบแม่แบบ (Pattern) ให้สอดคล้องกับมาตรฐานเด็กไทยอย่างสม่ำเสมอ โดยร่วมมือกับ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม ทำวิจัยสรีระเด็กไทยทั่วประเทศ ทุก 5 ปี ทำให้มั่นใจได้เลยว่าเครื่องแต่งกายเด็ก Enfant นั้นสวมใส่ได้อย่างสบายและสอดรับกับสรีระที่สุด
Enfant: Healthy and Safe เพื่อสุขอนามัย และความปลอดภัยของลูกน้อย Enfant ใส่ใจในทุกขั้นตอนการผลิตทุกสีสันลวดลายผ่านการฟอกย้อมด้วยน้ำยาที่มาจากสารอินทรีย์ธรรมชาติ และสี Non AZO เพื่อให้ได้ผ้าที่นุ่ม และ ความปลอดภัยสูงสุดด้วยการทดสอบสารตกค้างในผ้า ทดสอบความคงทน ขจัดสีส่วนเกิน และการตรวจจับโลหะก่อนนำไปบรรจุลงหีบห่อ
สร้างสรรค์นวัตกรรมปลอดมลพิษด้วยเครื่องจักรที่ทันสมัย
Enfant: Leading Innovation เพื่อเป็นผู้ช่วยในการดูแลเด็กให้เติบโตอย่างสมวัยและมีความสุข Enfant มุ่งมั่นค้นคว้าและพัฒนานวัตกรรมใหม่อย่างไม่หยุดยั้ง อาทิ นวัตกรรมเส้นใย Soft Flex ผ้า C-Single ผสม Spandex สร้างความยืดหยุ่นที่มากกว่า สวมใส่ได้สบายกว่า นวัตกรรม Cotton Bamboo ใยฝ้ายเกรดพรีเมียมผสานเส้นใยไผ่ สร้างความนุ่มสบาย และปลอดภัยไร้แบคทีเรีย ภายใต้การผลิตโดย บริษัท ไทยวาโก้ (จำกัด) มหาชน โรงงานที่ประกอบกิจการอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมทั้งภายในและภายนอก ตลอดจนห่วงโซ่อุปทาน เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในทุกกระบวนการผลิต
บริษัท ไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) ได้รับรองโรงงานอุตสาหกรรมสีเขียว ระดับที่ 4 จากกระทรวงอุตสาหกรรม และได้รับการรับรองโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ Eco Factory ปี 2560 และปี 2563
- เป็นโรงงานที่มีการปล่อยของเสียเป็นศูนย์ หรือมีของเสียจากกระบวนการผลิตเกิดน้อยที่สุด
- มีการใช้วัตถุดิบและพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
- มีระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมที่ได้มาตรฐาน
- มีการดำเนินการที่น่าเชื่อถือ
- มีการเกื้อกูลกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหรือสังคมโดยรอบ
ทุกขั้นตอนนับตั้งแต่การผลิตตลอดจนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์ Enfant มีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกมิติ ใช้ทรัพยากรที่มีอย่างคุ้มค่าและสร้างมลพิษให้กับสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด ด้วยหลักการดังนี้
Reduce ลดของเสียจากขบวนการผลิต ใช้วัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ
Reuse “เศษผ้า” ที่เหลือจากการผลิต สามารถนำไปใช้ต่อ เป็นเส้นใยบรรจุในตุ๊กตา และ ถุงบรรจุเสื้อผ้าสำเร็จรูป สามารถนำไปหมุนเวียน ซึ่งถุงอองฟองต์ มีสัญลักษณ์รีไซเคิล สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้
Recycle “กล่องกระดาษ” ที่ใช้ในการบรรจุสินค้าสำเร็จรูป ถูกนำกลับมาใช้ซ้ำอย่างคุ้มค่า ลดปริมาณขยะ
Eco-Logistic ระบบเติมเต็ม และบริหารจัดการสต๊อกสินค้า Sorter ระบบการคัดแยกที่รวดเร็ว เชื่อถือได้ และรองรับความหลากหลายที่เพิ่มขึ้น
Eco-Packaging กล่องกระดาษ/ ถุงพลาสติก ใช้จากวัสดุรีไซเคิล
ด้วยวัตถุดิบคุณภาพ การตัดเย็บอย่างประณีต และทุกขั้นตอนการผลิตที่พิถีพิถัน ทำให้เสื้อผ้าเด็ก Enfant มีอายุการใช้งานยาวนาน คงทน คุ้มค่า คงทน ส่งต่ออย่างคุ้มค่า จากรุ่นสู่รุ่น
ชุติมา ประเสริฐศรี ผู้อำนวยการผลิตภัณฑ์ Enfant กล่าวทิ้งท้าย จากแนวคิด “Enfant รักลูกของคุณ รักษ์โลกของเรา” ที่ Enfant ยึดถือและดำเนินกิจการมาอย่างต่อเนื่อง ในอนาคต เรามุ่งมั่นก้าวสู่ศตวรรษที่ 4 ด้วยการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด เพื่อพัฒนาการที่เหมาะสมของเด็กในแต่ละช่วงวัย และไม่หยุดที่จะพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ในทุกด้าน ด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เพื่อโลกที่น่าอยู่ ปลอดภัยสำหรับเด็ก และทุกคน นี่คือ สัญญาที่ Enfant จะยึดมั่นตลอดไป.
โรงงานที่ 4 “เพราะเราทุ่มเทและใส่ใจ ในทุกผลิตภัณฑ์ PURE CARE BSC จึงดีต่อใจ ดีต่อทุกสภาพผิวแม้ผิวที่บอบบางแพ้ง่าย และดีต่อโลกอย่างยั่งยืน”
ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง PURE CARE BSC (เพียว แคร์ บีเอสซี) โดย บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและคุณค่าของ วัตถุดิบจากธรรมชาติ โดยเฉพาะสมุนไพรไทย และเทรนด์การใช้ผลิตภัณฑ์ด้านความงามอย่างปลอดภัย ไร้สารเคมี จึงได้ร่วมกับส่วนงานวิจัยและนวัตกรรม บริษัทอินเตอร์เนชันแนล แลบบอราทอรีส์ จำกัด และ โครงการวิจัย PERCH ของศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.วิชัย ริ้วตระกูล ณ ภาควิชาเคมี มหาวิทยาลัยมหิดล ทำการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ Super Moisturizing Bead โดยนำ “บัวหลวง” พืชสมุนไพรไทย ที่ทรงคุณค่า และมีประโยชน์นานัปการมาพัฒนาใช้ในการผลิตเครื่องสำอาง
ดารนี มาตาแก้ว ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ PURE CARE BSC กล่าวว่า “สารสกัดจากเกสรดอกบัวหลวง สรรพคุณทางยามีรสฝาดหอมเย็น ใช้แก้ไข้ แก้เสมหะ อ่อนเพลีย นิยมใช้เป็นยาหอม ยาชงดื่ม เพื่อบำรุงหัวใจ สรรพคุณด้านความงาม พบว่าเกสรมีคุณสมบัติเป็น Anti-oxidant หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ตัวช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร โรคมะเร็ง และความบกพร่องทางผิวหนังอื่น ๆ มาผสมผสานกับนวัตกรรมจากโพลิเมอร์ธรรมชาติที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ ในรูปแบบเจลแคปซูลทรงกลม พร้อมด้วยคุณสมบัติของ Sericin และ Sodium Hyaluronate ที่ช่วยเสริมเติมเต็มความชุ่มชื้นที่ขาดหายไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้ใช้มีผิวที่แลดูอ่อนเยาว์ ผิวชุ่มชื้นขึ้น ลดเลือนริ้วรอย และคืนความอ่อนวัยและทำให้ผิวขาวเนียนสดใส ได้ดีเยี่ยมกว่าสารสกัดจากชาเขียวถึง 2 เท่า”
“ด้วยความโดดเด่นนี้ ทำให้เครื่องสำอาง PURE CARE BSC นำสารสกัดจากเกสรดอกบัวหลวงมารวมไว้ในเครื่องสำอางชุด Age Expert Series แบรนด์แรกของโลกด้วยนาโนเทคโนโลยี ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่า สามารถช่วยชะลอ ลดเลือนริ้วรอย คืนความอ่อนวัยและทำให้ผิวขาวเนียนสดใสอย่างเป็นธรรมชาติ”
โดย เครื่องสำอางชุด Age Expert Series ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ด้านเศรษฐกิจ ประจำปี 2548 จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (National Innovation Award 2548) และตั้ง Trademark เป็นของ PURE CARE BSC ในชื่อ “Lotus Spirit (โลตัส สปิริต)” PURE CARE BSC ผลิตจากส่วนผสมที่เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ และปราศจากสารก่อให้เกิดการระคายเคือง ซึ่งผ่านการทดสอบจากสถาบันผิวหนังชั้นนำระดับโลกตามมาตรฐานสากล การันตีคุณภาพ
1. Clinically Tested จากสถาบันผิวหนังประเภทเยอรมันนี Germany Dermatology Institute
2. Hypo- Allergenic จากสถาบันผิวหนังสหรัฐอเมริกา USA Dermatologist Institute
ทำให้มั่นใจว่าใช้แล้วปลอดภัย เหมาะกับทุกสภาพผิว แม้ผิวบอบบางแพ้ง่าย เหมือนกับสโลแกนของแบรนด์ “The Expert in Asian Sensitive Skin” ที่สำคัญยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ “ไม่ทำการทดลองกับสัตว์” และสารสกัด “Lotus Spirit (โลตัส สปิริต)” ยังได้รับรางวัลทางด้านนวัตกรรม National Innovation Award 2005 (1st runner up) จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อีกด้วย
คัดสรรวัตถุดิบจากธรรมชาติด้วยความใส่ใจ
ปี 2540 บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล แลบบอราทอรีส์ จำกัด (ILC) ได้เริ่มต้นพัฒนาสารสกัดจากเกสรบัวหลวง และศึกษาตลาดเครื่องสำอาง พบว่าในต่างประเทศมีการใช้สารสกัดจากธรรมชาติมากมาย อย่างเช่น Resveratrol ที่พบในองุ่น ชาเขียว หรือมัลเบอรี่ ที่ให้คุณสมบัติเป็น antioxidant ที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของผิวสูงวัย มีริ้วรอยเหี่ยวย่น ผิวหมองคล้ำ ได้ถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางอย่างแพร่หลาย
สำหรับประเทศไทย หนึ่งในเอกลักษณ์ประจำชาติที่มีความโดดเด่น และสร้างชื่อเสียง คือ สมุนไพร ซึ่งมีคุณค่าและประโยชน์แก่คนรุ่นหลังอย่างมากมาย มีการจารึกบันทึกการใช้สมุนไพรไทยในตำรับยา เช่น ตำรับยาแพทย์แผนโบราณ และตำราพระโอสถพระนารายณ์ เป็นต้น
จากการค้นคว้าวิจัยพันธุ์ไม้ในตำรับยาแผนโบราณ (แผนไทย) กว่า 200 ตัวอย่าง ที่มีประสิทธิภาพด้านการต้านอนุมูลอิสระ พบว่า “เกสรดอกบัวหลวง” มีคุณสมบัติที่โดดเด่น สามารถใช้เป็นทั้งอาหารและยา มีประวัติการใช้ที่ยาวนานและปลอดภัยสูง เข้ากับเครื่องยาไทย และปรากฏในหลายพระคัมภีร์หลายเล่ม ได้แก่ มหาโชติรัต ปฐมจินดา มุจฉาปักขันทิกา โดยเป็นหนึ่งในเกสรทั้งห้า ทั้งเจ็ดและทั้งเก้า ที่มีรสฝาดหอม แก้ไข้รากสาด แก้ไข้มีพิษร้อน ชูกำลังทำให้ชื่นใจ บำรุงครรภ์รักษา ใช้เข้าเครื่องยาหอมได้ และในทางศาสนาพุทธ ดอกบัว ถือเป็นสัญลักษณ์ของความงาม ความเจริญรุ่งเรือง ความมีชีวิต ความบริสุทธิ์และการตรัสรู้ทางจิตวิญญาณ จึงนับได้ว่าเกสรดอกบัวหลวงมีความโดดเด่น และน่าสนใจเป็นอย่างมาก
ด้านงานวิจัยและนวัตกรรม บุษบา จินตโสภณ กรรมการและผู้จัดการฝ่ายธุรกิจ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล แลบบอราทอรีส์ จำกัด (ILC) กล่าวว่า “ได้ร่วมมือกับโครงการวิจัย PERCH ของศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.วิชัย ริ้วตระกูล ณ ภาควิชาเคมี มหาวิทยาลัยมหิดล ดำเนินการร่วมกันใช้เวลาศึกษาถึงคุณสมบัติสารออกฤทธิ์ในสารสกัดเกสรบัวหลวง นานกว่า 6 เดือน จนพบว่าในสารสกัดเกสรดอกบัวหลวง มีกลุ่ม Flavonoid ได้แก่ Kaempferol และ Kaempferol derivative และเมื่อศึกษาถึงคุณสมบัติทางเคมีในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง พบว่า มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระสูงกว่า สารสกัดชาเขียวถึง 2 เท่า และมีคุณสมบัติช่วยทำให้ผิวขาวขึ้นเทียบเท่ากับสารสกัดจากมัลเบอรี่ มีความสามารถในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และมีความปลอดภัยในการใช้ ผ่านการทดสอบจากสถาบันที่น่าเชื่อถือ”
ในปี 2545 สารสกัดนี้ได้รับการจดอนุสิทธิบัตร 1610, จดทะเบียนการค้าหรือ trademark ในชื่อ “Lotusia” รวมทั้งขึ้นทะเบียน Lotusia BG ที่ PCPC (Personal Care Product Council) ถูกตีพิมพ์ใน ICID (International Cosmetic Ingredient Dictionary and Handbook) เป็นที่ยอมรับระดับสากล ซึ่งเราสามารถผลิตสารสกัดเกสรดอกบัวหลวงได้เองในเชิงพาณิชย์ ไม่แพ้สารสกัดที่นำเข้าจากต่างประเทศ
มุ่งมั่นพัฒนาการผลิตสู่ความยั่งยืน
ตลอด 53 ปี... บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล แลบบอราทอรีส์ จำกัด (ILC) ในฐานะโรงงานผู้ผลิตเครื่องสำอาง ได้ให้ความสำคัญกับแนวคิด Sustainability ซึ่งเป็นการพัฒนาความยั่งยืน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มคุณภาพชีวิตของทุกคนในสังคมให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแบบระยะยาวไปถึงคนรุ่นต่อๆ ไปในอนาคต ดังนั้นเราจึงได้มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสีเขียวหรือ “Green Extraction” เข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประสิทธิภาพและความปลอดภัยของสารสกัดเกสรดอกบัวหลวง รวมถึงมองหาแหล่งดอกบัวที่ดีในประเทศ ส่งเสริมรายได้ไปสู่ชุมชน เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันแบบองค์รวม ลดการนำเข้าสารสกัดจากต่างประเทศ
ดีต่อทุกสภาพผิวแม้ผิวที่บอบบางแพ้ง่าย และดีต่อโลกอย่างยั่งยืน
กล่าวโดยสรุป สารสกัดจากเกสรดอกบัวหลวง ลิขสิทธิ์เฉพาะของ PURE CARE BSC ในนาม Lotus Spirit ในเครื่องสำอางชุด Age Expert Series ที่ผลิตโดย บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล แลบบอราทอรีส์ จำกัด (ILC) มีความโดดเด่นในเรื่องของส่วนผสมที่ได้สารสกัดจากธรรมชาติ เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ผู้ใช้ โดยคำนึงถึงความงามที่ปลอดภัย ใช้ได้ในทุกสภาพผิวแม้ผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย เหมือนกับสโลแกนของแบรนด์ “The Expert in Asian Sensitive Skin”
ทุกขั้นตอนในการคัดเลือกวัตถุดิบ ผ่านการคิดค้น วิจัยอย่างมุ่งมั่น ผ่านการทดสอบ Clinically Tested เพื่อการันตีคุณภาพและความปลอดภัย จากสถาบันที่มีชื่อเสียงทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังรับรางวัลในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ที่สำคัญ PURE CARE BSC ยังเป็นแบรนด์ที่มุ่งเน้นพัฒนาสารสกัดจากเอกลักษณ์ของสมุนไพรไทย สร้างคุณค่าให้กับวัตถุดิบตามธรรมชาติ สร้างงานสร้างอาชีพให้กับเกษตรกรไทย และผลิตโดยโรงงานที่ใส่ใจ ไม่ทดลองผลิตภัณฑ์กับสัตว์ และพิถีพิถันในทุกกระบวนการผลิตจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ อย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน